ผลกระทบของ Web 2.0
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คำว่า Web 2.0 ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน แล้วมันต่างอะไรกับเว็บที่มีแต่เดิม และเว็บเดิมคือ Web 1.0 หรือไม่ อันนี้ก็คงเป็นคำถามที่หลายๆ คนอยากได้คำตอบ อย่างไรก็ตามกระแสเกี่ยวกับ Web 2.0 ก็เป็นสิ่งที่ปลุกเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตให้กลับมาดังได้อีกรอบหลังจากยุคฟองสบู่ของดอทคอมในปี 2000
Web 2.0 ถูกพูดถึงอย่างมากในปี 2004 หลังจาก ทิม โอไรล์ลี่ย์ ผู้ก่อตั้งบริษัท O’Reily Media หรือ O’Reiley & Associates ในปัจจุบัน ได้จัดงานสัมมนา “O’Reily Media Web 2.0” เพื่อใช้อธิบายถึงวิวัฒนาการในปัจจุบันของเว็บไซต์ แม้จะยังไม่มีคำนิยามที่อธิบายถึง Web 2.0 ได้ครอบคลุมที่สุด แต่หนึ่งในหลายตัวอย่างของความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0 คือการมุ้งเน้นที่ผู้ใช้เป็นสำคัญ
ลักษณะและเทคโนโลยีที่แสดงถึง Web 2.0
คำว่า Web 2.0 นั้นไม่ได้มีความหมายว่าเป็นเทคโนโลยี แต่เป็นความพยายามที่จะอธิบายของยุคหรือการวิวัฒนาการของเว็บไซด์ โดยสรุปให้เข้าใจได้ง่ายคือ
Web 1.0 – เว็บไซด์แบบ Static โดยผู้ใช้สามารถรับข้อมูลได้อย่างเดียว ข้อมูลของเว็บไซด์ปรับปรุงช้า
Web 2.0 – เว็บไซด์แบบ Dynamic โดยผู้ใช้จะเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปัน, ปรับปรุงข้อมูลของเว็บไซด์
โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีในยุค Web 2.0 จึงเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วย server software content syndication messaging protocols standard-based browsers และ client applications ต่าง ๆ เทคนิคใหม่ ๆ มากมายถูกสร้างขึ้น และหากเว็บไซด์ใช้เทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้ จะถูกเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยี Web 2.0 เทคนิคเหล่านั้นประกอบด้วย
- ผู้ใช้สามารถใส่และเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างง่ายและสามารถใช้แอพพลิเคชันผ่านทางเว็บเบราเซอร์ได้
- ให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมีส่วนร่วมต่อเว็บไซต์มากขึ้น ไม่ใช่แค่เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บจัดทำขึ้นเท่านั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้าง content ของเว็บไซต์ขึ้นมาได้เองหรือสามารถ tag content ของเว็บไซต์ (คล้ายๆการกำหนด keyword ที่เกี่ยวข้องกับ content โดยผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นผู้กำหนดขึ้น) ตัวอย่างเช่น Digg, Flickr, Youtube , Wiki
- คุณสมบัติที่เรียกว่า mash-up ก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของ Web 2.0 application นั่นก็คือการที่เราสร้าง Web application ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง แล้วเราสามารถเปิด service ของ Web application ให้คนอื่นๆสามารถมาใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่น การนำ Web application เกี่ยวกับระบบการซื้อขายสินค้า online ของทางบริษัทไป mash-up เข้ากับ Google maps เพื่อที่จะทำ Web application ของบริษัทมีความสามารถนอกเหนือซื้อขายสินค้า online แล้วยังสามารถคำนวณระยะทางและเวลาในการขนส่งสินค้าไปให้ลูกค้า รวมทั้งสามารถพิมพ์แผนที่เส้นทางได้ โดยที่บริษัทไม่ต้องสร้าง Application สำหรับสร้างแผนที่ขึ้นมาเองโดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ mash-up นั้นก็คือ Feeds, RSS, SOA, และ Web services
- Web 2.0 application จะมีคุณสมบัติที่เรียกว่า RIA (Rich Internet Application) นั่นคือ Web 2.0 application จะมี User Interface ที่ดียิ่งขึ้น เช่น คุณสมบัติ Drag & Drop ซึ่งใช้กันใน Desktop Application ทั่ว ๆไปก็สามารถใช้ได้บนเว็บเช่นกัน โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการสร้าง RIA เช่น AJAX, Flash
โดยลักษณะที่เด่นชัดของ Web 2.0 นั้น จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว โดยรวมไปถึงการรวดเร็ว และการง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งบล็อกและเว็บที่ให้บริการอับโหลดภาพถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่างของ Web 2.0 ที่ให้เห็นได้ทั่วไป ที่มีการให้บริการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้งานที่ง่าย โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด เห็นได้ว่าลักษณะของWeb 2.0 นั้นก่อให้เกิดการสร้างเนื้อหา ที่รวดเร็ว และมีการแบ่งปันข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยลักษณะของเว็บเปลี่ยนจากทางเน้นหนักทางด้านเทคนิค ไปในด้านข้อมูลข่าวสารแทนที่ เป็นการให้บริการทางสังคม นั่นก็คือการใส่ใจกับ Community หรือ Social มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจต่อมา
ผลกระทบของ Web 2.0 ที่มีต่อพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
Web 2.0 ได้ก่อให้เกิดเครือข่ายชุมชนออนไลน์แบบใหม่ (Social Network) ระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไป เว็บไซด์บางเว็บไซด์ให้บริการ social software หรือการติดต่อสื่อสารโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางเพื่อสร้างชุมชนออนไลน์ขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ blogs และ wikis นอกจากนี้บางเว็บไซด์ได้มีการให้บริการ RSS feeds เป็นจำนวนมากภายในหน้าเว็บของตน ในขณะที่บางเว็บไซด์ได้สร้างลิงค์ที่ลิงค์ไปยังเว็บไซด์อื่น ๆชนิดเจาะลึกเข้าถึงข้อมูล
ความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลทางเว็บ การติดต่อสื่อสาร รวมไปถึงการส่งข้อความต่าง ๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ที่ Web 2.0 พัฒนาขึ้น ได้ก่อให้เกิดการโยงใยทางสังคมที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในยุคก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ได้มีการใช้ Ajax ในการพัฒนาเว็บไซด์ที่สามารถทำงานคล้ายคลึงแอปพลิเคชันในเครื่องพีซี เช่น word processing spreadsheet และ slide-show presentation เป็นต้น WYSIWYG (What You See Is What You Get) และ Wiki เป็นตัวอย่างของเว็บไซด์ประเภทดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีเว็บไซด์ที่ช่วยเรื่องการจัดการโครงการ และการประสานงานต่าง ๆ อีกด้วย
ผลกระทบของ Web 2.0 ต่อการตลาด
ปัจจุบันแนวคิดการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้ประโยชน์ของ Web 2.0 กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งเราจะเห็นว่าแต่เดิมนั้น การส่ง Email marketing , Web banner หรือการแลก Linkโฆษณา อาจจะไม่มีประสิทธิภาพและไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพียงพอ การตลาดรุ่นใหม่ใน Web 2.0 เป็นการนำเอาพลังเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ที่มีอยู่ มาช่วยให้เราเข้าถึงผู้คนนับล้านในโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย และตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นการเข้าถึงในลักษณะของการสื่อสารแบบสองทางด้วยสื่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข้อความเสียง, วีดีโอ, Blogs, Wikis และ Feeds (RSS) เป็นต้น
ตัวอย่างการสื่อทางการตลาดที่นิยมใช้ในยุค Web 2.0 เช่น
- Feed Marketing กำลังจะเข้ามาทดแทนการตลาดแบบเดิมๆ คือ E-Mail Marketing นั่นเอง เพราะการตลาดโดยใช้ E-Mail นั้น มีการส่งเมล์ที่ผู้ใช้ไม่ต้องการมาให้เยอะ ที่เราๆรู้ๆกันคือ Spam Mail จนก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่ผู้รับ Feed marketing สามารถส่งข้อมูล โดยตรงถึงผู้ใช้ทันทีที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ตามที่ผู้ใช้เรียกข้อมูลนั้นๆ ผ่านซอร์ฟแวร์หรือผู้ให้บริการอ่าน Feed ที่เรียกว่า RSS Reader หรือ Feed Reader อาทิเช่น FeedForAll, Bloglines ตามลำดับ การกระจายข่าวสาร ทั้งภาพ เสียง และข้อความ ผ่าน Feed ส่งตรงถึงผู้ใช้ทันที เป็นข้อได้เปรียบหลักๆ อยู่แล้ว อีกทั้งเห็นผลตอบรับกลับมาด้วย (RSS Comment) ยิ่งเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ขึ้นไปอีก
- Video Marketing เป็นการโฆษณาด้วยการ Share วีดีโอออนไลน์ ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของการเผยแพร่วีดีโอโฆษณาซึ่งแตกต่างจากการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์แบบดั้งเดิมอยู่หลายประการ เช่น เป็นช่องทางการเผยแพร่ไม่จำกัด สามารถลดต้นทุนในการประชาสัมพันธ์ เพราะไม่จำเป็นต้องจ้าง Agency หรือเสียค่าโฆษณาผ่านทางทีวี วิทยุ อีกทั้งยังสามารถเช็คผลความรู้สึกของผู้ชมผ่านทางความคิดเห็น หรือคะแนนโหวตต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเว็บที่ให้บริการเช่น Youtube (www.youtube.com) , Google Video หรือ เว็บในบ้านเราอย่าง www.seedang.com
ผลกระทบของ Web 2.0 ต่อการโฆษณา
ในอดีตการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ นั้นผู้ขายอาจจะทำการสร้าง เว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาและทำการโฆษณาสินค้าที่ตัวเองต้องการขายหรือบริการที่เกี่ยวข้อง โดยชื่อของเว็บไซต์ (Domain name) ก็จะเป็นการตั้งชื่อเพื่อสร้างให้เกิดการจดจำไปถึงตัวสินค้าหรืออาจจะเป็นชื่อเดี่ยวกับบริษัทไปเลยก็ได้ แต่ในปัจจุบัน Web 2.0 นั้นจะมุ่งเน้นไปที่การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก (Word-of-mouth) เป็นการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันผ่านทาง Social networking ซึ่งแนวคิดของ Social Networking นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความร่วมมือกัน การแบ่งปัน การแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ความบันเทิง เป็นเครือข่ายระหว่างหน่วยเล็ก ๆ ที่เชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ ที่ได้เปลี่ยนวิถีทางในการเปลี่ยนแปลงโลกของเรา และเราก็สามารถนำ Social Networking มาสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของเราได้อีกด้วย
การทำโฆษณาผ่านทาง social networking นั้นช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใกล้ลูกค้าของตน รวมถึงเพิ่มโอกาสและความถี่ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น เว็บไซด์ social networking ไม่เพียงแต่ช่วยให้คนเราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้แล้ว ยังสามารถแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างกัน เช่น เพลง รูปถ่าย และวิดีโอ เป็นต้น ดังนั้น เว็บไซด์ social networking จึงเป็นช่องทางที่ดีที่บริษัทจะเข้าไปทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนโดยที่ไม่ต้องเสียงบประมาณในการซื้อสื่อโฆษณาแม้แต่น้อย
นอกจากนี้องค์กรสามารถเพิ่มฐานลูกค้าในต่างประเทศได้ โดยการที่องค์กรนั้นไปเข้าร่วมใน community ของธุรกิจในท้องถิ่น วิธีการนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าท้องถิ่นได้ทั้งแบบ B to C และแบบ B to B
องค์กรไม่ต้องเสียต้นทุนในการโฆษณาในสื่ออื่น ๆ ที่มีราคาแพง ซึ่งการโฆษณาผ่านทางเว็บไซด์ social networking นั้นช่วยให้องค์กรสามารถทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ หรือแม้กระทั่งประชาสัมพันธ์ภาพพจน์และตราสินค้าขององค์กรเองให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับรู้ก็สามารถกระทำได้ตลอดเวลา
จาก Web 1.0 สู่ Web 2.0 และ Web 3.0
นับเป็นเวลานับสิบปีกว่าๆ ของ World Wide Web หรือยุคของ Web 1.0 ในปี 1992 ซึ่งเป็นยุคของการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเข้าสู่ Web 2.0 ในปี 2004 – 2005 ยุคของเครือข่ายสังคม ในการแบ่งปันข้อมูล ซึ่งส่งผลมากมายทั้งการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา การตลาด การรับรู้ความต้องการของลูกค้า หรือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ในปัจจุบันข้อมูลในอินเตอร์เน็ต รวมทั้งปริมาณเครือข่ายสังคม เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่คาดหมายกันว่า แม้ว่ายุคของ Web 2.0 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในโลกของอินเตอร์เน็ตและการทำธุรกิจในปัจจุบัน แต่ปัญหาของปริมาณข้อมูลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้ยุคของ Web 3.0 มาถึงในเวลาไม่นาน ซึ่งเป็นยุคของการจัดการข้อมูลที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย เพื่อให้ค้นหา รวบรวม ได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จาก Web 3.0 ได้ถูกเริ่มพูดถึงตั้งแต่ปี 2006 และถูกคาดว่าในปี 2010 เราจะได้เริ่มเห็นการให้บริการที่เป็น Web 3.0 มากขึ้น
บรรณานุกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น